Friday, 4 October 2024

ดาวยูเรนัส เจ้าดาวมฤตยู ตัวแทนแห่งเหตุลางร้าย

31 Mar 2023
300

ดาวยูเรนัส

เนื่องจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลมีหลายสิ่งที่ทำให้เราอยากค้นหาซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ดวงดาวในระบบสุริยะ จากในความรู้ที่เราได้ร่ำเรียนมาตามตำราตั้งแต่เด็ก เราจะรู้จักว่าดวงดาวในระบบสุริยะนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ แต่จะมีดาวอยู่ดวงหนึ่งที่มีความน่าสนใจในเรื่องของดาราศาสตร์ รวมไปถึงโหราศาสตร์ ที่เขาว่าเป็นเรื่องแห่งความโชคร้าย นั้นก็คือ ดาวยูเรนัส ดาวเคราะห์ 1 ใน 8 ที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาล วันนี้เรา akatommychong จะพาทุกคนไปรู้จักกับดาวยูเรนัสดวงดาวมฤตยู ตัวแทนแห่งเหตุลางร้าย ว่ามีข้อมูลจริงเท็จอย่างไร ไปติดตามกันได้เลย

ดาวยูเรนัส

ดาวยูเรนัส ดาวเคราะห์ลำดับที่ 7

ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์น้ำแข็งยักษ์ลำดับที่ 7 จากดวงอาทิตย์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์ในระบบสุริยะจักรวาล ดาวยูเรนัสมีไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นองค์ประกอบหลักในชั้นบรรยากาศ ลึกลงไปในดวงดาวองค์ประกอบส่วนใหญ่คือแอมโมเนียและมีเทน ทำให้ดาวยูเรนัสมีสีฟ้าน้ำเงิน เนื่องจากมีเทนดูดกลืนแสงสีแดง และสะท้อนแสงสีน้ำเงิน มีดวงจันทร์บริวาร 27 ดวง

ดาวยูเรนัสมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์อยู่ถึง 2870 ล้านกิโลเมตร หรือประมาณ 19 เท่าของระยะทางที่โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก แต่เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์และรู้ตำแหน่งแน่ชัด ก็จะสามารถเห็นได้ในคืนที่ฟ้าใสกระจ่าง

การถูกค้นพบของดาวยูเรนัส

ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่ถูกค้นพบโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เซนติเมตร ผู้ที่ค้นพบคือ William Herschel นักดนตรีและนักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวเยอรมัน ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในประเทศอังกฤษในปี 1781 ต่อมาในปี 1977 นักดาราศาสตร์จากหอดูดาวไคเปอร์แอร์บอร์น ค้นพบว่าดาวยูเรนัสมีวงแหวนจางๆโดยรอบ และเราก็ได้เห็นรายละเอียดของดาวยูเรนัสพร้อมทั้งวงแหวนรวมถึงดวงจันทร์บริวารและพบดาวยูเรนัสอีกครั้ง ในปี 1986 เมื่อยานโวเอเจอร์2 เคลื่อนผ่าน แม้ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ยังมีความรู้เกี่ยวกับดาวยูเรนัสน้อยมาก เพราะมองจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ก็เห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆสีน้ำเงิน ไม่เห็นรายละเอียดพื้นผิวบนนั้น

ดาวยูเรนัส

ดาวยูเรนัส ความแปลกที่ไม่มีใครเหมือน

ดาวยูเรนัสมีลักษณะแปลกกว่าดาวเคราะห์อื่นๆ เพราะดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะจักรวาลที่หมุนตัวรอบตัวเองในลักษณะตะแคงข้าง เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าในอดีตดาวยูเรนัสมีการหมุนรอบตัวเองในแนวตั้ง ลักษณะเหมือนกับดาวเคราะห์ดวงอื่น แต่ในเวลาต่อมาดาวยูเรนัสอาจจะถูกวัตถุที่มีขนาดใหญ่เท่าโลกพุ่งชน จนทำให้ดาวยูเรนัสตะแคงข้าง จนแกนนั้นมีความตั้งฉากกับแนวระนาบของระบบสุริยะ

ซึ่งหันแกนเหนือเบนออกไปอยู่ที่ประมาณ 98 องศา ทำให้ขั้วโลกเหนือของดาวยูเรนัสถูกกดต่ำลงไป เมื่อมองจากโลกจึงดูคล้ายว่าดาวยูเรนัสกำลังหันข้าง ตะแคงโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ โดยสวนทางกับการหมุนรอบตัวเอง เปรียบเทียบการหมุนของดาวยูเรนัสนั้น คล้ายกับการหมุนของล้อรถยนต์ซึ่งแตกต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีการหมุนคล้ายกับฝากขวดน้ำ

ฤดูกาลที่ยาวนานเพราะหมุนตะแคงข้าง เพราะความที่ดาวยูเรนัสหมุนตัวรอบตัวเองในลักษณะตะแคงข้าง จึงทำให้มีฤดูกาลที่ยาวนาน ดาวยูเรนัสใช้เวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ยาวนานถึง 84 ปี จึงมีบางช่วงที่ดาวยูเรนัสหันขั้วหนึ่งเข้าหาดวงอาทิตย์เป็นเวลากลางวันตลอดทั้งวัน 21 ปี ในขณะที่ขั้วตรงข้ามเป็นเวลากลางคืนตลอดทั้งวันอยู่ถึง 21 ปีเช่นกัน และมีบางช่วงที่ดาวยูเรนัสหันด้านข้างเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ช่วงนั้นขั้วทั้งสองต่างรับแสงอาทิตย์พอกันยาวนานถึง 42 ปี

วงแหวนของดาวยูเรนัสมีลักษณะตั้งฉากตามแกนที่หมุนรอบตัวเองมีจำนวน 13 ชั้น ซึ่งมีความเบาบางและมืดมาก ผิดกับวงแหวนที่สว่างของดาวเสาร์ ถ้าไม่มองด้วยกล้องโทรทัศน์ก็จะมองไม่เห็น วงแหวนของดาวยูเรนัสประกอบด้วยชิ้นน้ำแข็งสีเข้มที่เคลื่อนไหว น้ำแข็งในวงแหวนนั้นประกอบด้วยมีเทนแข็ง ชิ้นส่วนของมันอาจจะชนกันและทำให้เกิดฝุ่นที่อยู่ในช่องว่างระหว่างวงแหวน จนบางครั้งหลายคนก็ตั้งฉายาให้กับดาวยูเรนัสว่าเป็นดาวเคราะห์ที่ถูกลืม

ดาวยูเรนัส

ชื่อและความหมายที่ต่างกันไปตามแหล่งที่มา

ดาวยูเรนัสมาจากเทพกรีกในยุคเริ่มแรกนั้นก็คือเทพยูเรนัสหรืออูรานอสเป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าทรงเป็นทั้งบุตรและสวามีของพระแม่ไกอา เทพีแห่งผืนดิน ท่านทั้งสองสมหวังกันด้วยอีรอสหรือคิวปิด เทพเจ้าแห่งความรัก ที่ทั้งคู่รักกันด้วยเหตุผล คือพื้นดินนั้นมองท้องฟ้าทุกวัน จนเทพอีรอสทนไม่ไหวจึงแผลงศรให้ทั้งคู่รักกันมีลูกด้วยกัน คือเหล่ายักษ์ ปีศาจอัปลักษณ์

ทำให้ยูเรนัสไม่พอใจอย่างมาก จึงจับไปขังที่นรกที่ลึกที่สุดคือนรกทาร์ทารัส เกิดความเครียดแค้นใจกับไกอาเป็นอย่างยิ่ง บุตรกลุ่มต่อมาคือไททัน ซึ่งมีรูปลักษณ์ดูดีแต่ทำท่านไม่พอใจ ยิ่งเกิดความเคียดแค้นต่อไกอาเป็นเท่าทวีคูณ นางจึงขอร้องให้ลูกเหล่าไททันสังหารยูเรนัส โครนัส หนึ่งในเหล่าไททันตอบตกลงที่จะช่วย ต่อมายูเรนัสจึงโดนโค่นล้มโดยโครนัสลูกชายของตนเอง

ในทางกลับกันยูเรนัสมาจากภาษาสันสกฤตว่า พรรษา หรือ วาซา ที่แปลว่า ฝน ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากท้องฟ้า ดังนั้นคำว่ายูเรนัส จึงแปลว่าผู้ให้น้ำฝน ผู้ให้ความอุดมสมบูรณ์ ต่อมาจึงมีความหมายเป็นเทพแห่งท้องฟ้า และในภาษาจีนกับภาษาญี่ปุ่น ยูเรนัสจะมีความหมายแปลออกมาเหมือนกันว่าดาวแห่งราชาสวรรค์

ดาวยูเรนัสดาวนี้มีชื่อภาษาไทยว่าดาวมฤตยู ที่แปลตรงตัวว่า ดาวแห่งความตาย ซึ่งมีความค้านกับชื่อของดาวยูเรนัสในชื่อภาษาอื่นมากที่สุด ในความเชื่อทางโหราศาสตร์ดาวามฤตยูเป็นดาวเคราะห์ที่ใช้เลข 0 เป็นเครื่องหมาย ถือเป็นอากาศธาตุ บางตำราก็ว่าเป็นวิญญาณธาตุ

ส่วนการโคจรในจักรราศีตามตำราโบราณนั้น ดาวมฤตยูเดินทวนเข็มนาฬิกา ถูกจัดอยู่ในกลุ่มดาวบาปเคราะห์ ให้ผลรุนแรง บ้างก็เพี้ยนแปลกๆ เป็นกลุ่มดาวที่ให้ผลไปในเชิงลบมากกว่าดี ซึ่งในสมัยโบราณถือว่าคือเทพเจ้าแห่งความตาย จะก่อให้เกิดโรคระบาดหนัก เกิดความอาเพศ ลางร้าย เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างผิดปกติ ก่อให้เกิดการสูญเสีย ความเจ็บป่วย และความตาย อีกทั้งยังรวมไปถึงการโยกย้ายฉับพลัน ความผันผวน เหตุการณ์น่ากังวลไม่คาดฝัน การปฏิวัติ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตลอดจนเรื่องเหนือธรรมชาติ เช่น วิญญานและภูติผี เป็นต้น

ดาวยูเรนัส เจ้าดาวมฤตยู

การโคจรตามโหราศาสตร์ทำให้เกิดสำนวนไทยที่คุ้นหู

หลายคนคงเคยได้ยินสำนวนไทยที่ว่า ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ซึ่งที่มาที่ไปก็มาจากดาวยูเรนัสหรือดาวมฤตยูนี้ทั้งสิ้น เหตุเป็นเพราะในทางโหราศาสตร์มีความเชื่อว่า การโคจรแต่ละครั้งของดาวดวงนี้จะใช้เวลาประมาณ 7 ปี ก่อนจะเปลี่ยนไปอยู่อีกราศีหรือตำแหน่งหนึ่งและในทุกรอบ 100 ปี

ดาวมฤตยูจะโคจรทับดวงเมืองและดวงโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เสมอ ตั้งแต่ โรคระบาดรุนแรง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความตายครั้งยิ่งใหญ่ ล่าสุดดาวมฤตยูก็ได้เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมปี 2022 ที่ผ่านมา

จากเรื่องราวของดาวยูเรนัสหรือเจ้าดาวมฤตยู ตัวแทนแห่งเหตุลางร้ายที่ใครๆกล่าวถึงทั้งหมด ที่เรารวบรวมมาจะเห็นได้ว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก ซึ่งมีสถานะเดียวกันกับดาวยูเรนัสนั้น ได้ค้นพบข้อมูลเพื่อเป็นความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ด้านดาราศาสตร์ที่ถูกค้นพบในอดีต นำมาจับให้มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับหลักการทางโหราศาสตร์โบราณมาอย่างต่อเนื่องจวบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรมนุษย์ก็ยังต้องค้นหาคำตอบ จากคำถามของสิ่งต่างๆในระบบสุริยะจักรวาลกันต่อไปอย่างไม่จบสิ้น

สนับสนุนโดย ufabetwin