เชื่อว่า กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เป็นหนึ่งในผักอันดับต้นๆที่เรามักจะนึกถึงเวลาที่ทําน้ําพริก แต่เชื่อหรือไม่ว่า เรากลับพบประโยชน์ดีๆมากมายเพียงแค่รับประทานกระเจี๊ยบเขียวและเราอยากแนะนําหากคุณมีอาการเหล่านี้ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลําไส้ กําลังมองหาอาหารในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งส่งผลดีต่อการต้านโรคร้ายต่างๆ ตําราแพทย์แผนไทยนําเอากระเจี๊ยบเขียวไปใช้ในการรักษาโรคอะไรได้บ้าง ทําไมผู้หญิงหลังคลอดบุตร แนะนําให้รับประทานกระเจี๊ยบเขียวหรือแม้แต่คุณกําลังประสบปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและฟันต้น
กําเนิดของ กระเจี๊ยบเขียว
สันนิษฐานว่ามาจากประเทศซูดาน ทวีปแอฟริกา ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก ประเทศไทยเองก็มีการเรียกอยู่หลายชื่อ โดยคนภาคเหนือนิยมเรียกว่า กระเจี๊ยบบอน กระเจี๊ยบเขียวเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมนํามารับประทาน ไม่ว่าจะในซุปสลัดหรือว่าทานคู่กับน้ําพริก ด้วยรสชาติที่กรอบอร่อย กระเจี๊ยบเขียวยังประกอบไปด้วยสารอาหารและสรรพคุณในการรักษาโรคได้มากมาย จึงทําให้ไม่เพียงแต่อยู่ในเมนูอาหารของคนไทยเท่านั้น แต่ยังมีในอาหารของอินเดียและญี่ปุ่นอีกด้วย อะไรที่ทําให้กระเจี๊ยบเขียวได้รับความนิยมในการนําไปรับประทานขนาดนี้ และยังมีสารอาหารและประโยชน์อีกมากมายขนาดไหน จะชวนทุกคนมาทําความรู้จักกับพืชสมุนไพรชนิดนี้กัน
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว
1. ช่วยในการขับถ่าย
กระเจี๊ยบเขียวมีสารเหมือกเฉพาะตัวและมีเส้นใยชนิดที่ละลายน้ําและชนิดที่ไม่ละลายน้ําอยู่ในตัว สรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียวในข้อนี้จึงช่วยให้การขับถ่ายดีมากขึ้น โดยเส้นใยที่ละลายน้ําได้ การดูดซับสารพิษในลําไส้และขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระ ทําให้ถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น
2. ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร
เมือกลื่นๆบนผิวของกระเจี๊ยบเขียว มีส่วนช่วยในการเคลือบกระเพาะอาหาร และบรรเทาแผลในกระเพาะอาหาร ในกระเจี๊ยบเขียวมีสารประกอบไกลโคไซเรน ไกลโคโปรตีน. ซึ่งสารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทํางานของเชื้อแบคทีเรีย. เฮลิโคลนแฟคเตอร์โพลี. ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทําให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
3. ช่วยในการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด
เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีทั้งไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ําและไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ําได้อยู่ในตัวจึงช่วยในการชะลอการดูดซึมน้ําตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด ส่งผลให้ระดับน้ําตาลในเลือดคงที่นั่นเอง
4. เพิ่มจํานวนแบคทีเรียที่มีประโยชน์
สารเมือกและเส้นใยชนิดที่ละลายน้ําได้ของกระเจี๊ยบเขียวเมื่อลงไปสู่ลําไส้ใหญ่จะช่วยกระตุ้นให้แบคทีเรียชนิดดี พรีไบโอติก เจริญเติบโตได้ดี ซึ่งเมื่อลําไส้มีพรีไบโอติกมากขึ้นก็จะช่วยในการลดแบคทีเรียที่ไม่ดีในลําไส้ด้วยนั่นเอง
5. ช่วยในการรักษาแผลสด
อย่างผลของกระเจี๊ยบเขียวช่วยในการรักษาแผลสดได้และอาจช่วยรักษาแผลให้หายไวโดยไม่เป็นแผลเป็น เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดกลูต้าไธโอนค่อนข้างสูง โดยเมื่อเป็นแผลสดให้ล้างแผลให้สะอาด แล้วใช้เมือกจับฝักของกระเจี๊ยบเขียวมาทารอบรอบบริเวณแผลให้ทั่ว
6. รักษาอาการแสบร้อนที่ผิวหนัง
เมือกลื่นของกระเจี๊ยบเขียวทําให้ผิวหนังชุ่มชื้น ตํารายาโบราณจึงนิยมนําเอาเมือกของกระเจี๊ยบเขียว มาพอกผิวหนังที่รู้สึกแสบร้อน
7. ช่วยในการบํารุงสตรีคลอดบุตร
กระเจี๊ยบเขียวมีสารแพทตินมาก เมื่อทานเข้าไปจะช่วยในการสมานแผลภายในของสตรีคลอดบุตรให้กลับมาเป็นปกติและยังช่วยในการสร้างเซลล์ที่ผิวหนังไม่ให้เป็นแผลเป็น หน้าท้องไม่ลาย อีกทั้งกระเจี๊ยบเขียวยังเป็นพืชที่มีแคลเซียมสูง มีส่วนช่วยในการบํารุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
8. ช่วยในการต้านการเกิดโรคมะเร็ง
สรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียวที่ดีมากๆอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะกลูต้าไธโอนที่มีคุณสมบัติในการควบคุมอนุมูลอิสระในร่างกาย กระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ ทั้งปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกายและช่วยในการต้านการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย
9. ตำรายา
ตํารายาโบราณของจีนมีการนําเอารากเมล็ดและก็ดอกของกระเจี๊ยบเขียวมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ในส่วนของประเทศอินเดียใช้ฝักนํามาต้มกับน้ําดื่มช่วยในการขับปัสสาวะ เมื่อมีอาการกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะอักเสบหรือเมื่อปัสสาวะติดขัด
วิธีทำเมนูกระเจี๊ยบผัดเกลือ
สําหรับคนรักสุขภาพเรามีเมนูกระเจี๊ยบผัดเกลืออาหารไทยสูตรโบราณ กรอบ อร่อย เพื่อสุขภาพมาฝาก ส่วนผสมมีเพียงกระเจี๊ยบเขียว ข้าวสวย 1 ทัพพี กระเทียมสับ 1 ช้อน เกลือ 1 ช้อนชา วิธีทําก็แสนง่ายครับ
- ทำโดยการหั่นกระเจี๊ยบขนาดพอดีคํา
- ใส่น้ํามันลงในกระทะรอจนร้อนแล้วนําข้าวสวยลงไปทอดให้กรอบหอม
- นํากระเจี๊ยบลงไปผัดด้วยไฟแรง
- ใส่กระเทียมสับลงไปผัด ปรุงรส ด้วยเกลือ เสร็จเรียบร้อย
เราจะได้กระเจี๊ยบผัดเกลือที่หอมกรอบอร่อยและช่วยในการดูแลสุขภาพอีกหนึ่งเมนู การรับประทานกระเจี๊ยบเขียวเป็นอะไรที่ง่าย เราสามารถนํามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆทานสดๆได้เลยหรือจะนําไปประกอบอาหารกับเมนูอื่นๆ นําไปย่างด้วยไฟอ่อนๆ หรือว่าจะทานคู่กับน้ําผึ้ง น้ํามะนาวหรือไอศกรีมก็ได้ แต่การรับประทานที่มากหรือว่าติดต่อกันเป็นเวลานานๆอาจจะไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพหรือผู้ที่มีโรคประจําตัว ควรปรึกษาแทนประจําตัวของท่านก่อนด้วยเช่นกัน